กองทุนรวมคืออะไร หลายคนคงเคยผ่านตากับคำนี้กันมาบ้างแล้ว แต่จะต่างจากการลงทุนอื่นๆ
อย่างไรบ้างนั้น บทความนี้จะช่วยไขข้อสงสัย และอาจจะกลายเป็นอีกหนึ่ง เครื่องมือทำเงิน ของคุณ
กองทุนรวมคืออะไร กองทุนรวม หรือที่เรียกว่าในภาษาอังกฤษว่า Mutual Fund คือ กองทุนที่มาในรูปแบบของการรวบรวมเงินของ นักลงทุน จำนวนมาก นำไปจดทะเบียนให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล เพื่อตั้งเป็น กองทุน ผู้จัดการกองทุนนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ตามนโยบายของแต่ละกองทุน นำผลตอบแทนมาเฉลี่ยคืนให้กับผู้ลงทุนตามสัดส่วนที่ลงทุน เครื่องมือทำเงิน
โดยโครงสร้างของกองทุนนั้นประกอบไปด้วยบริษัทจัดการ (บลจ.) ซึ่งจะประกอบด้วยผู้จัดการกองทุน ที่ทำหน้าที่ในการบริหาร ต่อมาคือผู้ถือหน่วยการลงทุน ซึ่งจะเป็นผู้ที่ทั้งลงทุน และจะได้รับผลประโยชน์ และสินทรัพย์ที่ใช้ในการลงทุน จะประกอบไปด้วย หุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ สินทรัพย์อื่นๆ โดยทุกขั้นตอนจะมีสำนักงาน ก.ล.ต. เป็นผู้กำกับดูแล
ข้อดี ของการลงทุนในกองทุนรวม
- มีกลไกปกป้องคุ้มครองผู้ถือหน่วยลงทุน
- สามารถใช้เงินลงทุนไม่มาก
- กองทุนรวมบริหารโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ
- กองทุนรวมมีสิทธิประโยชน์ทางภาษี
- กองทุนรวมมีนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย
เมื่อทราบกันแล้วว่า กองทุนรวมคืออะไร ต่อมาระดับความเสี่ยง ของกองทุนต่างๆ จะมีทั้งหมด 8 ระดับ
- ระดับ 1 กองทุนรวมตลาดเงิน / ลงทุนในประเทศ / ผลตอบแทนและความเสี่ยง ต่ำ
อาทิเช่น ลงทุนในประเทศ, ตั๋วเงินคลัง, พันธบัตรรัฐบาล, เงินฝากธนาคาร, บัตรเงินฝาก - ระดับ 2 กองทุนรวมตลาดเงิน / ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ / ผลตอบแทนและความเสี่ยง ต่ำ
- ระดับ 3 กองทุนรวมตราสารหนี้ / เน้นลงทุนพันธบัตรรัฐบาล อายุเกิน 1 ปี ขึ้นไป / ผลตอบแทนและความเสี่ยง ปานกลางค่อนข้างต่ำ
- ระดับ 4 กองทุนรวมตราสารหนี้ / เน้นลงทุนหุ้นกู้บริษัทเอกชน / ผลตอบแทนและความเสี่ยง ปานกลางค่อนข้างต่ำ
-หุ้นกู้คุณภาพเยี่ยม เช่น หุ้นกู้บริษัทเอกชน เรตติ้ง A- ขึ้นไป
-หุ้นกู้คุณภาพ เช่น หุ้นกู้บริษัทเอกชน เรตติ้ง BBB- ขึ้นไป - ระดับ 5 กองทุนรวมผสม / กระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท / ผลตอบแทนและความเสี่ยง ปานกลางค่อนข้างสูง
-แบบผสม (ตราสารหนี้ / ตราสารทุน ไม่เกิน 65% และไม่น้อยกว่า 35%) กองทุนรวมคืออะไร
-ผสมแบบยืดหยุ่น (เน้นตราสารหนี้ / ตราสารทุน โดยตัดสินใจขึ้นอยู่กับผู้จัดการกองทุน) - ระดับ 6 กองทุนรวมตราสารทุน / ลงทุนในหุ้นไม่น้อยกว่า 65% / ผลตอบแทนและความเสี่ยง ปานกลางค่อนข้างสูง
อาทิเช่น หุ้นคุณภาพ, หุ้นเติบโต, กองทุนรวม กลุ่มธุรกิจ, กองทุนรวมเฉพาะเจาะจง - ระดับ 7 กองทุนรวมหมวดอุตสาหกรรม / ลงทุนเฉพาะเจาะจงในกลุ่มอุตสาหกรรม / ผลตอบแทนและความเสี่ยง สูงมาก
- ระดับ 8 กองทุนรวมทรัพย์สินทางเลือก / ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิเช่น ทองคำ น้ำมัน เป็นต้น / ผลตอบแทนและความเสี่ยง สูงมากอย่างมีนัยะสำคัญ
*รู้เท่าทัน ระดับความเสี่ยงของกองทุนรวมแล้ว อย่าลืม! ตรวจสอบระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ เพื่อเลือกกองทุนรวมให้เหมาะสมกับตนเอง ข้อนี้ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก*
เมื่อทราบแล้วว่า กองทุนรวมคืออะไร แล้วทีนี้เราจะเลือกกองทุนรวมได้จากอะไร อย่างไรถึงจะดี?
กองทุนมีอยู่มากมายหลายกองทุน และหลายระดับความเสี่ยง เราต้องเลือกกองทุนให้ตรงกับเป้าหมาย และสไตล์รูปแบบการลงทุนของตัวเอง ถึงจะเรียกว่า เป็นการลงทุนที่ใช่ การเลือกกองทุนก็คงไม่ต่างอะไรกับการเลือกแฟน ที่เราเองก็ต้องศึกษา และมองหาอะไรที่ใช่และแมทช์กับเรา แถมความเสี่ยงดีร้ายก็ต้องอยู่ในเกณฑ์ที่เรารับได้ไม่ว่าจะเจอวิกฤตอะไรก็ตาม ฉะนั้นมีจะมีคำถามอยู่ 3 ข้อที่เราต้องใช้ถามตัวเองให้ชัดเจนก่อนที่จะลงทุน
- ที่วัตถุประสงค์ในการลงทุนของเราคืออะไร?
- ยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน?
- มีระยะเวลาลงทุนนานเท่าไหร่?
เมื่อเราได้คำตอบสำหรับ 3 ข้อนี้แล้ว ก็เพียงพอที่จะทำให้เราวางแผนการลงทุน และเลือกกองทุนที่ใช่ได้ในเบื้องต้น แต่เหนือสิ่งอื่นใดแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คงจะเป็นโจทย์ และความชอบ ซึ่งทุกคนมีไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นแล้วให้โฟกัสกับตัวเอง ใส่ใจในทุกรายละเอียด เพราะนั่นคือเงินของคุณ
มาดูกันกับ 3 ทริคง่ายๆ ในการเลือกหากองทุนที่ใช่เหมาะสมกับเรา
- สไตล์ (Style) – ต้องมีนโยบายการลงทุนที่เหมาะกับเรา
หากเราจะเลือกกองทุนสักกองหนึ่ง เราจำเป็นที่จะต้องพิจารณาจากนโยบายการลงทุนต่างๆของกองทุนนั้นๆ ว่าคือ กองทุนรวมคืออะไร กองทุนที่เราสนใจนั้นจัดเป็นกองทุนประเภทไหน นำเงินไปในใช้ในการลงทุนในสินทรัพย์อะไรบ้าง อาทิเช่น หุ้นขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ หุ้นปันผล หุ้นเติบโต หุ้นในประเทศ หรือหุ้นต่างประเทศ เป็นต้น โดยสัดส่วนการลงทุนนั้นมีจำนวนเท่าไหร่ มีจ่ายปันผลให้เราไหม การซื้อขั้นต่ำมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินลงทุนเท่าไร ความเสี่ยงของกองทุนนั้นมีอะไรบ้าง อายุกองทุนนั้นผ่านอะไรมามากน้อยแค่ไหน เราจำเป็นที่จะต้องศึกษาอย่างละเอียด ฃ
- ผลตอบแทน (Return) – ต้องมีผลตอบแทนสม่ำเสมอ
ต่อคือต้องพิจารณาผลการดำเนินงานย้อนหลัง เพื่อดูความสม่ำเสมอของผลการดำเนินงานทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพราะตรงส่วนนี้ต้องมีผลตอบแทนที่สม่ำเสมอถึงจะมีความน่าสนใจ พร้อมกับนำข้อมูลที่ได้มาเปรียบเทียบกับดัชนีชี้วัด หรือที่เรียกว่า Benchmark รวมถึงดูกองทุนอื่นๆ ที่มีนโยบายการลงทุนแบบเดียวกันด้วย โดยท้ายที่สุดแล้วเราจะเลือกกองทุนที่มีผลการดำเนินงานย้อนหลังที่ดี และให้ผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
- ค่าธรรมเนียมฟรี (Free) – ต้องมีค่าธรรมเนียมกองทุนต่ำ
สุดท้ายคือ ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย และค่าใช้จ่ายที่กองทุนจะมีการเรียกเก็บจาก นักลงทุน เป็นอีกข้อหนึ่งเลยที่นักลงทุนจะต้องเช็คให้ดีๆ เพราะหากเจอกับการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมมราสูงเกินไป นั่น็จะก็หมายถึงผลตอบแทนที่จะลดลงด้วย นักลงทุนจึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถี่ถ้วน และเลือกกองทุนที่มีค่าใช้จ่ายที่ต่ำ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมมากเกินความจำเป็น โดยพิจารณาจากกองทุนที่มีลักษณะ และนโยบายที่ใกล้เคียงกันมากที่สุด
สำหรับบทความนี้ กองทุนรวมคืออะไร คงได้คำตอบกันแล้ว แต่จริงๆแล้วการเลือกกองทุนรวมไม่ได้มีหลักการที่ตายตัว และก็คงไม่มีกองทุนไหนที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีได้อย่างสม่ำเสมอเช่นกัน ดังนั้น นักลงทุน จึงควรพิจารณา ปัจจัยอื่นๆร่วมด้วย อาทิเช่น ขนาดของกองทุน พอร์ตการลงทุน ค่าสถิติที่แสดงความเสี่ยงของกองทุน กลยุทธ์ต่างๆในการลงทุน รวมไปถึงบริการเสริมทางด้านอื่นๆ เพื่อเพิ่มความสามารถในการลงทุน เช่น บริการซื้อขายกองทุนได้หลายช่องทาง ให้คำปรึกษาผ่าน Call Center หรือมีโปรแกรมช่วยวางแผนภาษี เป็นต้น
ติดตามข่าวสารบทความดีๆจาก เว็บไซต์ : GOFX.CO
หรือทาง Facebook page : GOFX TH